(บทความ) Heat Transfer คืออะไร? ไขความลับกลไกการถ่ายเทความร้อน 3 รูปแบบหลักที่คุณควรรู้ 

🔥 Heat Transfer คืออะไรไขความลับกลไกการถ่ายเทความร้อน รูปแบบหลักที่คุณควรรู้ 

ความเข้าใจ Heat Transfer (การถ่ายเทความร้อน) คืออะไร? 

Heat Transfer (การถ่ายเทความร้อน) คือกระบวนการสำคัญทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายการเคลื่อนย้ายของพลังงานความร้อนจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า เพื่อให้เกิดการสมดุลทางอุณหภูมิในที่สุด ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่การต้มน้ำ การทำอาหาร การทำงานของตู้เย็น ไปจนถึงการถ่ายเทความร้อนจากดวงอาทิตย์มายังโลก 

การทำความเข้าใจหลักการของ Heat Transfer ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนวิศวกรรมหรือวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ระบบทำความเย็น (HVAC), การผลิตพลังงานการแปรรูปอาหารและการออกแบบอาคารที่ประหยัดพลังงาน 

เกิดอะไรขึ้นเมื่อเกิดการถ่ายเทความร้อน? 

เมื่อวัตถุหรือระบบสองชิ้นที่มีอุณหภูมิต่างกันมาสัมผัสกันหรืออยู่ใกล้กัน พลังงานความร้อนจะเริ่มไหลจากส่วนที่ร้อนกว่าไปยังส่วนที่เย็นกว่า โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ระบบโดยรวมมีอุณหภูมิที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันที่สุด ซึ่งการเคลื่อนย้ายพลังงานนี้สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกัน หรือแยกกัน ขึ้นอยู่กับสภาวะและตัวกลางที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งออกเป็น กลไกหลัก ที่เป็นรากฐานของการถ่ายเทความร้อนทั้งหมด 

 

กลไกหลักของ Heat Transfer ที่ต้องรู้ 

กลไกทั้ง นี้คือหัวใจสำคัญของการถ่ายเทความร้อน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นแบบเดี่ยว ๆ หรือทำงานร่วมกันก็ได้ในสถานการณ์จริง: 

  1. Conduction (การนำความร้อน)

 กลไกการถ่ายเทความร้อนโดยตรง 

  • คำจำกัดความ: คือการถ่ายเทความร้อนที่เกิดขึ้นโดยตรงระหว่างโมเลกุลของวัตถุที่อยู่ติดกัน หรือผ่านวัสดุตัวกลางที่เป็นของแข็งที่สัมผัสกัน 
  • กระบวนการ: เมื่อส่วนหนึ่งของวัตถุได้รับความร้อน โมเลกุลในบริเวณนั้นจะมีพลังงานจลน์เพิ่มขึ้นและเริ่มสั่นสะเทือนเร็วขึ้น การสั่นสะเทือนนี้จะส่งผ่านไปยังโมเลกุลที่อยู่ข้างเคียงทีละโมเลกุล ทำให้ความร้อนเคลื่อนที่ไปตามเนื้อวัตถุโดยที่ตัวโมเลกุลไม่ได้เคลื่อนที่ตามไปด้วย 
  • ตัวอย่าง: 
  • การที่ปลายอีกด้านของช้อนโลหะที่จุ่มอยู่ในน้ำร้อนค่อย ๆ ร้อนขึ้น 
  • ความร้อนจากเตาไฟฟ้าส่งผ่านไปยังก้นหม้อ (ตามภาพประกอบ) 
  • ปัจจัยสำคัญ: ค่าการนำความร้อน (Thermal Conductivity, k) ของวัสดุ ซึ่งบ่งบอกว่าวัสดุนั้นนำความร้อนได้ดีแค่ไหน (โลหะนำความร้อนได้ดี ส่วนฉนวน เช่น พลาสติกหรือไม้ จะนำความร้อนได้ไม่ดี) 
  1. Convection (การพาความร้อน)

💧 กลไกการถ่ายเทความร้อนผ่านการเคลื่อนที่ของของไหล (Fluid) 

  • คำจำกัดความ: คือการถ่ายเทความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่ของของไหล (Fluid) เช่น ของเหลว (Liquid) หรือก๊าซ (Gas) 
  • กระบวนการ: เมื่อของไหลส่วนที่อยู่ใกล้แหล่งความร้อนได้รับพลังงาน มันจะขยายตัวและมีความหนาแน่นลดลง จึงลอยตัวสูงขึ้น และของไหลส่วนที่เย็นกว่า (มีความหนาแน่นสูงกว่า) จะไหลลงมาแทนที่ ทำให้เกิดการหมุนเวียน (Circulation) หรือที่เรียกว่า กระแสการพาความร้อน” (Convection Current) ซึ่งเป็นการนำพาความร้อนไปด้วย 
  • ประเภทของ Convection: 
  • การพาความร้อนแบบธรรมชาติ (Natural Convection): เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเนื่องจากความแตกต่างของความหนาแน่น (เช่น การต้มน้ำในหม้อตามภาพ หรือลมทะเล/ลมบก) 
  • การพาความร้อนแบบบังคับ (Forced Convection): เกิดจากการใช้กลไกภายนอกช่วยในการเคลื่อนที่ของของไหล (เช่น พัดลมปั๊มน้ำ) 
  • ตัวอย่าง: 
  • การต้มน้ำในหม้อ ที่น้ำส่วนล่างร้อนขึ้นแล้วลอยตัวขึ้นไปด้านบน (ตามภาพประกอบ) 
  • ระบบทำความเย็นในตู้เย็นที่อากาศเย็นไหลลงด้านล่างและอากาศอุ่นไหลขึ้นด้านบน
    1. Radiation (การแผ่รังสีความร้อน)

    ☀️ กลไกการถ่ายเทความร้อนโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง 

    • คำจำกัดความ: คือการถ่ายเทพลังงานความร้อนในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Waves) โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางที่เป็นสสาร เช่น ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ 
    • กระบวนการ: วัตถุทุกชนิดที่มีอุณหภูมิสูงกว่าศูนย์สัมบูรณ์จะปล่อยพลังงานในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อคลื่นเหล่านี้ไปกระทบกับวัตถุอื่น วัตถุนั้นจะดูดซับพลังงานและเปลี่ยนเป็นความร้อน 
    • ตัวอย่าง: 
    • ความร้อนจากดวงอาทิตย์ส่งมาถึงโลกผ่านอวกาศที่เป็นสุญญากาศ 
    • ความรู้สึกอุ่นเมื่อยืนอยู่ใกล้กองไฟหรือเตาไฟฟ้า  
    • การใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้แบบอินฟราเรด (Infrared Thermometer)